แปลกจังช่วงนี้อัพบล็อกกลางๆ สัปดาห์? แลดูถี่ๆ? ฮ่าๆ ก็นะ พอดีมีอะไรอยากพูด อีกอย่าง ปกติ การเขียนบล็อกเนี่ย ก็เรียกว่าเป็นการเขียนบันทึกประจำวันแบบอิเล็กทรอนิครึเปล่า? ถึงปกติจะไม่ขนาดนั้นก็เหอะ ฮ่าๆ
สองวันนี้เหนื่อยมาก ใช้แรงเยอะ ทั้งวิ่งมาราธอน เดินกลับบ้าน ขี่จักรยาน ทำความสะอาดห้องเรียน ขนหนังสือกลับบ้าน ไม่ไหวแล้ว ร่างกาย... แต่ต่อจากนี้ก็จะได้ชิล แล้วก็ปิดเทอมแล้ว! แต่ก็ยังเหลือวิ่งอีกรอบอ่ะนะ orz สู้เว้ย!
พรุ่งนี้กับวันศุกร์จะได้หยุดล่ะ พอดีจะมีสอบเข้าที่โรงเรียน เลยได้อนิสงค์หยุดเรียนกัน เฮ้ออ~ จะไปชินไซบาชิกับมีมี่ล่ะ ไปหาอาหารไทยกินกัน ฮ่าๆ~ จะไปซื้อของด้วย (ป่าว ซีดีจัมพ์ orz) สุดท้ายก็ซื้อ ไม่ดิ คิดไว้แต่แรกอยู่แล้ว ฮ่าๆ คือนะ ไหนๆโทรศัพท์มือถือก็มีแล้ว ก็อยากใช้สิทธิ์บ้างอะไรบ้างแค่นั้นเอง ที่อยู่ บ้านญี่ปุ่นก็มี ส่งข้อความไปขอ JUMParty บ้าง ก็ดีไม่ใช่รึไง? แลดูเห็นแก่ตัว ฮ่าๆ
จะว่าไป สังเกตดูช่วงหลัง (มั้ง) ถ้าไม่เขียนเกี่ยวกับจัมพ์ก็จะไม่มีคนเข้ามาสินะ ฮ่าๆๆ! ก็นะไม่แปลก อีกอย่าง ก็ไม่นึกว่าคนจะเข้ามาอยู่แล้ว = = แบบนะ ปกติคนเราเขียนบล็อกส่วนตัวกันเนี่ย มีคนตามอ่านด้วยหรอ? เว้นแต่ จะเปิดบล็อกเพื่ออะไรซักอย่าง หรือ คนดัง จริงมะ? จะว่าไปก็เหนือความคาดหมายเหมือนกัน ถึงจะไร้สาระ เอาแต่ใจ แต่ยังไงก็ขอบคุณที่ทุกคนเข้ามาอ่านนะ ^^ เอ๊ะ หรือเราจะเป็นคนดังหว่า? กร๊าก
แต่ก็นั่นแหละ...บางที การแสดงออกเรื่องส่วนตัวออกสื่อ? และให้คนอื่นมาอ่าน บางที มันก็ให้โทษกับตัวเองเหมือนกันนะ
พูดอะไรแปลกๆ ฮ่าๆๆๆๆ ก็นะ~ ไม่รู้ว่าทุกคนสังเกตเห็น หรือ อะไรรึเปล่าก็ไม่รู้ ปรกติ คนเราจะเขียนอะไรออกสาธารณะที ก็ต้องคิดถึงภาพพจน์หรือระวังคำพูดอะไรทำนองนี้ใช่รึเปล่า? ไม่ได้จะว่านะ มันเป็นเรื่องปกติจริงๆ เรามาเขียนบล็อกนี้ ก็มีบ้างเล็กน้อยที่ระวังคำพูดหรือไม่พูดอะไรทั้งหมด แต่ 95% ในบล็อกนี้เป็นตัวตนที่แท้จริงของเราจริงๆ
คิดว่าทุกคนคงรู้นะ เพราะ บล็อกแต่ละบล็อก คำพูดมักจะออกมางงๆ วนไปวนมา เหมือนไม่ได้ผ่านการคิดอะไรมาเลย ก็ใช่ ไม่ได้ผ่านอะไรเลย แค่เปิดแล้วก็พิมพ์ตามที่คิดแค่นั้นเอง ฮ่าๆ
แต่เพราะมันเป็นตัวตน มันถึงมีทั้งขาวและดำ เคยได้ยินรึเปล่าว่าคนเราน่ะ มันเป็นสี "เทา" แล้วมันหมายถึงอะไรล่ะ? มันก็หมายถึงว่า เดิมทีทุกคนเป็นสีขาว และ ถูกสีดำเติมลงไปเท่านั้นเอง...
แล้วสีขาวมหาศาลเหล่านั้นจะกลายเป็นสีเทาได้ นั่นก็เพราะว่า สีดำมันถูกเติมลงไปเยอะ เราพูดถูกรึเปล่า? แน่นอน ถ้าเราระวังตัว เวลาที่เราแสดงออกต่อหน้าคนอื่น เราจะเป็นสีขาวหรือสีดำก็ได้ แม้ว่าตัวตนจริงๆของเราจะเป็นสีเทาก็ตาม
สุดท้ายที่อยากจะพูดก็คือ เพราะว่าตอนนี้ ที่นิ้วของเราสัมผัสแป้นพิมพ์ลงไป มันคือสถานะของเราที่เป็นตัวตน ดังนั้นสิ่งที่ออกมา ก็คือ สีเทา ไม่ใช่ สีขาว หรือ สีดำ ดังนั้น มันไม่มีทางเป็นเรื่องดีๆหรือเรื่องร้ายๆด้านใดด้านหนึ่งไปเลยหรอก
อ่านมาถึงตรงนี้ คงเกิดคำถามกันในใจ "เกิดอะไรขึ้นอีก?" เกิดสิ ฮ่าๆ! จริงๆก็ไม่ได้เกิดอะไรหรอกนะ ก็แค่รับฟังมา ฮ่าๆ
แต่ไม่พาดพิง มันแค่อึดอัดใจอยากพูดออกมาเฉยๆ อาจจะอ่านไปอ่านมา มันจะดูไม่ค่อยต่อเนื่องกันนะ เพราะบอกแล้วว่าคิดอะไรก็พิมพ์ ดังนั้นก็มีงงบ้าง ลืมบ้าง ฮ่าๆ
ตอนนี้อยากจะพูดเรื่อง "การตัดสินคน" อืม ลึกซึ้งนะว่ามั๊ย? จริงๆเราก็ยังเป็นแค่เด็กนะ ปีนี้ก็แค่จะอายุ 18 เท่านั้น อาจจะพูดอะไรได้ไม่มาก หรือ ไม่ได้ถูกต้อง แต่ก็อยากจะพูดในความเห็นของเราคนเดียวเท่านั้น
ทุกคนเคยมั๊ย ที่จะไปเจอใคร ไปฟังใคร ก็จะเผลอตัดสิน และมองว่าเขาเป็นคนยังไง? จนบางทีเก็บไปคิด ว่า ทำไมเขาถึงเป็นคนแบบนั้น? ทำไมเขาถึงทำอะไรแบบนั้น? ก็ไม่แปลก ใครๆก็จะเผลอคิด ทั้งๆที่จริงๆตัวเองไม่มีสิทธิ์ไปตัดสินใครเขาได้ แต่ก็จะเผลอ
แถมยังปักใจเชื่อเต็มที่ด้วยนะ ว่า คนๆนั้นเป็นแบบที่เราคิดจริงๆ ฮ่าๆ ทั้งๆที่จริงๆน่ะ ไม่ใช่... อย่างตัวเรานะ ก็เป็นอย่างที่บอกแหละ บางทีก็จะชอบคิด ชอบนึกว่าเรารู้ ทั้งๆที่จริงๆเราไม่รู้อะไรเลย แต่ก็เพราะรู้ ว่ามันไม่ควรทำแบบนั้น ตัวเองจึงตั้งกฏข้อหนึ่งขึ้นมาสำหรับตัวเอง และเพื่อตัวเองขึ้นมา นั่นก็เพื่อการดำรงค์ชีวิตที่มีความสุข เท่าที่จะทำได้
นั่นก็คือ การหันกลับมามองตัวเองก่อนเสมอ ก่อนที่จะคิดหรือทำอะไร... รู้มั๊ยทุกคน? ว่าตามหลักศาสนาน่ะ แค่ "คิด" ก็ผิดแล้วนะ ดังนั้น จึงมีประโยคๆนึงที่มักจะนึกเอาไว้เตือนตัวเองเสมอก่อนจะคิดอะไร ก็นะ มีทั้งทำได้และทำไม่ได้แหละ แต่เพราะยังไงสุดท้ายก็ต้องนึกขึ้นมาได้ทุกที ก็รู้สึกดี ดีกว่าไม่คิดจะนึกถึงมันเลย...
"ถ้าเป็นเรา...เราจะทำแบบนี้มั๊ย? ถ้าเป็นเรา...เราจะพูดแบบนั้นมั๊ย? ถ้าทำ ถ้าพูด ก็อย่าไปว่าเขา เพราะตัวเองก็เป็นเหมือนกัน ก็ทำไม่ได้เหมือนกัน" นี่คือประโยคนั้นที่มักจะเตือนตัวเองเสมอ แน่นอน ว่ามันเป็นประโยคประจำใจที่เหมือนแปะติดเอาไว้ในหัว ในใจ แต่แน่นอน เวลาที่รู้สึกขาดสติ...ก็ไม่ขนาดนั้น อาจจะหมายถึง ช่วงเวลาที่สับสน ไม่อาจควบคุมตัวเองได้ล่ะมั้ง เวลาเหล่านั้นน่ะ นึกอะไรไม่ออกหรอก เหอๆ
ตัวอย่างเช่น สมมุตว่ามีคนๆนึง ไปทำอะไรบางอย่าง ที่มันไม่ดี ณ ตอนนั้นถ้าตัวเองกำลังเป็นคนดีอยู่ ก็มักจะคิดในใจ "แย่จริง ใช่ไม่ได้เลย" แน่นอนว่าความคิดมันไว อาจจะเผลอคิดไปก่อน หลังจากนั้นก็จะถามตัวเอง "แล้วถ้าเป็นเรา สถานการณ์แบบนี้เราจะทำรึเปล่านะ?" อืม ทำแหงๆ...ดังนั้น ก็อย่าไปว่าเขาเลย
ประมาณนี้มั้ง... ว่าแต่พูดทำไม เกี่ยวอะไรกับสีเทา แล้วเกี่ยวอะไรกับที่จะพูดเนี่ย งง ฮ่าๆๆๆ!
แต่ว่านะ รู้มั๊ย? ว่าคนเราน่ะ มีทั้งความคิดส่วนตื้นที่มักจะเกิดขึ้นมาโดยธรรมชาติ กับ ความคิดส่วนลึกของจิตใต้สำนึกนะ... ไม่ได้อ่านจากหนังสือเล่มไหนมา แต่รู้สึกค้นพบด้วยตัวเอง ทั้งนี้ทั้งนั้น ทั้งหมดก็คือความคิดของตัวเรานั่นแหละ เพียงแต่ความคิดส่วนตื้น มันจะเกิดขึ้นมา และหายไปอย่างรวดเร็ว ต่างกับความคิดส่วนลึกที่มันถูกฝังลงในจิตใจ
แน่นอน เมื่อเอาทุกอย่างมารวมกันที่เราพูด ในกรณีที่เรา คาดหวังอะไร และมักจะเผลอคิดไปเองตามที่เราหวัง และเราก็เชื่อว่าสิ่งนั้นที่เราคิดถูกต้องที่สุด มั่นใจกับมัน ดังนั้น เมื่อเจอคนที่คิดต่าง ก็มักจะเผลอบอกว่าเขาคิดผิด เป็นต้น เรื่องนี้ ล้านเปอร์เซ็นต์ทุกคนเป็นหมดเหมือนกันแน่นอน
เรื่องนี้ลองพูดง่ายๆให้เห็นภาพ ก็เปรียบสมมุติว่ามีคน 3 คน A B C โดยที่ C คือ บุคคลที่ 3 ยังไงลองนึกภาพตามเรานะ
A → C เอ บอกว่า ซี เป็นคนที่ร่าเริงสดใส ชอบทำตัวไร้สาระ แต่มักจะเอาจริงเอาจังมากเวลาทำงาน ซึ่งพูดตามตรง เขาก็ไม่รู้หรอกว่าจริงๆแล้ว ซี เป็นคนยังไงกันแน่ แต่เขาก็มองอย่างนี้ ตอนนี้เขามองเห็นด้านของซีทั้งสองด้าน ทำให้เขาปักใจเชื่อ ว่านี่แหละคือทั้งหมดของซี แต่เขาอาจจะลืมไป ว่าคนเรา มีหลายด้าน โดยเฉพาะด้านที่ไม่แสดงให้ใครเห็น
B → C ส่วนบี ก็บอกว่า ซี เป็นคนที่ร่าเริงสดใส ชอบทำตัวไร้สาระ แต่เมื่อมาเห็นซีตั้งใจทำงาน เอาจริงเอาจังมากๆ ทั้งๆที่ใจลึกๆก็รู้ว่าเขาเป็นคนจริงจัง แต่เพราะเป็นครั้งแรกที่เห็นเขาทำหน้าจริงจังใส่ ก็จะเผลอคิดไม่ได้ว่า เขาเย็นชา และเสแสร้ง แต่นี่เป็นแค่ความคิดส่วนตื้นที่เผลอคิดขึ้นมาโดยธรรมชาติ ซึ่งความคิดส่วนตื้นนั้น ก็มักจะตื้นมาก จนแสดงออกออกมาให้คนอื่นเห็น เรียกง่ายๆว่าอารมณ์ชั่ววูบ
เมื่อเอ กับ บี ที่มีความคิด หรือ เรียกอีกอย่างว่า ความปักใจ ที่ต่างกัน ก็มักจะแน่นอน ที่จะต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่จะรู้สึกติดขัด
A → B เอ เลยบอกว่า บีคิดผิด และ ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมบีต้องคิดแบบนี้ เอ บอก บี ว่า อย่าคิดไปเอง ทั้งๆที่จริงๆ เอ ก็ไม่ได้รู้ตัวว่า เอ ก็คิดไปเองเหมือนกัน
สรุปแล้ว A คิดไปเองตรงไหนบ้าง?
1. A คิดไปเองว่า ตัวเองมองเห็นส่วนของซีหมดแล้ว จึงไม่ได้นึก ว่าสิ่งที่บีมองเห็นอยู่ก็อาจจะเป็นด้านอีกด้านนึงของ ซี จริงๆก็ได้ แต่นั่นก็เพราะมันเป็นส่วนที่เหนือความเชื่อของตัวเอง จึงคิดว่าสิ่งที่บีคิดนั้น มันผิด เปรียบเสมือนกับ กลิ่นที่เขาไม่ได้กลิ่น งง รึเปล่า? สมมุติว่า เราสองคน (เราคนที่เขียนบล็อกอยู่ตรงนี้ กับ คุณ ที่กำลังนั่งอ่านอยู่ตอนนี้ กำลังยืนอยู่ในบ้านที่พึ่งทำความสะอาดเสร็จ) เราบอกคุณว่า เรารู้สึกหอม เราได้"กลิ่นน้ำยาทำความสะอาด" กับ "กลิ่นดอกไม้" ที่พึ่งถูกนำมาเปลี่ยน แต่คุณกลับบอกเราว่า คุณได้"กลิ่นเหม็นอับนิดๆ"ในบ้านหลังนั้น ทั้งๆที่เรากลับไม่ได้กลิ่น ไม่ว่ายังไงก็ไม่ได้กลิ่น เราเลยคิดว่า คุณน่ะ จมูกไม่ดี ทั้งๆที่จริงๆแล้ว คุณอาจจะได้กลิ่นจริงๆก็ได้
2. A คิดไปเองว่า สิ่งที่ตัวเองได้ฟังจากบี (ที่บีบอกว่าบีคิดว่าซีอาจจะเสแสร้ง) นั้น คือ ความคิดจริงๆทั้งหมดของบี เอจึงคิดว่า บี เป็นคนที่ไม่เปิดกว้างและชอบทึกทักไปเอง ทั้งๆที่จริงๆแล้ว สิ่งที่เขาได้ฟังจากบี เป็นแค่ความคิดส่วนตื้นของบีเท่านั้น มันคืออารมณ์ชั่ววูบของบีเท่านั้น แต่เอ คิดว่า นั่นคือ สิ่งที่บีคิดทั้งหมดจริงๆ
สรุป พ้อยของเรื่องนี้คือ A นั่นแหละ ว่าแต่ เรื่องราวฟังดูเหมือนมีมูลฐาน? ฮ่าๆ
สุดท้ายแล้ว การคิดไปเองเนี่ย มันก็ไม่ดีจริงๆนะ... แต่คนเรามันห้ามกันไม่ได้หรอก อีกทั้ง ในโลกนี้ไม่มีใครคิดผิด ทุกคนมีเหตุผลเป็นของตัวเอง มีวิธีที่คิดอยากจะช่วยตัวเอง วิธีที่จะทำให้ตัวเองสบายใจ ซึ่งถ้ามันไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน เราก็ไม่คิดว่ามันจะแย่หรอกนะ ^^
แน่นอนนะ ว่าถ้า เรามารู้ว่า คนอื่นคิดยังไงกับความคิดของเรา หรือวิธีการของเรา เราก็คงจะรู้สึกเสียเซลฟ์ หงุดหงิด หรืออะไรหลายอย่าง แต่มันก็ไม่มีความจำเป็นต้องแก้ตัว เพราะตัวของเราเอง ก็คือตัวของเราเองนั่นแหละ ถึงแม้จะทำใจคิดยาก แต่ถ้าปล่อยไปไม่นาน ความรู้สึกอยากแก้ตัว อยากอธิบายก็จะหายไปเอง
ปะป๊าของเราสอนเอาไว้ว่า "ไม่ต้องสนใจว่าใครจะคิดกับเรายังไง เพราะเรารู้ตัวของเราเองดีที่สุด ถ้านั่นไม่ใช่สิ่งที่ผิด ซักวันสิ่งนั้นมันก็จะแสดงออกมาให้เขาเห็นเอง ว่าจริงๆแล้วแท้จริงนั้น เราเป็นคนยังไง แต่ถ้ามันไม่มีวันนั้น เพราะต่างคนต่างก็จะลืมกันไป ก็ไม่ต้องไปสนใจ เพราะคนเราเกิดมาก็อยู่กันได้ไม่นาน ก็จากกันไปแล้วล่ะ" เป็นสิ่งที่ทำยากแต่ถ้าทำได้จะดีมาก ดังนั้นก็พยายามทำอยู่จนถึงตอนนี้
การเขียนครั้งนี้คงจะไม่มีคนอ่าน เพราะมันน่าเบื่อ แต่ก็จะเขียนเอาไว้ เตือนใจตัวเอง เวลามีอะไรขึ้นมาบางครั้ง แต่ถ้ามีใครซักคนได้ลองอ่านตรงนี้ เราก็หวังว่ามันจะช่วยให้มีแนวทางอะไรในการดำเนินชีวิตได้บ้าง เราก็ยังเด็กยังต้องเรียนรู้อะไรอีกมากมาย แต่เราก็คิดว่า สิ่งที่เราพิมพ์ไปในตอนนี้ มันก็น่าจะช่วยอะไรได้ อย่างน้อยๆจนถึงตอนนี้ที่ใช้หลักนี้มา มันก็ทำให้เรามีความสุขขึ้นได้จริงๆ
ความทุกข์ ไม่พอใจ เสียใจ คุ้มคลั่ง เกิดขึ้นได้เสมอ และทุกเวลา แต่สุดท้ายเมื่อมีสติและควบคุมตัวเองได้แล้วมันก็จะหายไปเอง ดังนั้นสิ่งที่พิมพ์เอาไว้วันนี้ จะถือเป็นทางเล็กๆทางนึงที่จะมีไว้เดินในระหว่างทางเชื่อมต่อกับความทุกข์ กับ ความสุขละกันนะ
.
.
.
วันนี้ดราม่าเรื่องริวอีกแล้ว (มาไง) ดราม่าบ่อยจัง วัยรุ่น (ตบไหล่ตัวเอง) ฮ่าๆ ระหว่างกำลังนั่งดู Ichiban song รายการที่จัมพ์ออกอยู่ (ไม่รู้เต้นไปรึยัง ลืมเปิด กร๊าก) เราก็มาพิมพ์เรื่องริวริว เป็นไงล่ะ ทีนี้ JUMP ก็ครบ10 คนพอดี (อะไรของแกวะ!?)
พอดีนั่งอ่านทรานส์เก่าๆสมัยที่ยังแปลแมกอยู่แล้วแบบ คิดถึงริวจัง... มากๆอ่ะ มากกกกกกกกก แล้วพอดี วันนี้เรียนครึ่งวัน เลยออกไปร้านหนังสือ ไปยืนอ่านฟรีอีกแล้ว (นั่น) แต่ครั้งนี้ค่อนข้างยืนอ่านจริงจังนะ ปกติจะอ่านผ่านๆเปิดๆดู แต่นี่ยืนอ่านจริงๆ เหอๆ...
ก็ไปอ่าน TV mag อันนึง จัมพ์ก็คุยกันเรื่องเพลงใหม่กับทัวร์คอน พอมาประโยคสุดท้ายแบบ หลุดปากออกมาเป็นภาษาไทยคำๆนึงเลย ดีนะไม่มีคน แล้วก็พูดเบาๆ
โคจังพูดว่า
"ตอนนี้พวกเราแตกต่างจากเมื่อ 4 ปีที่แล้วแล้ว เรามีประสบการณ์กัน ตอนนั้นต่อให้ไปต่างประเทศ พวกเราก็กล้าพูด และอยากจะไป ในฐานะที่เราเป็น JUMP"...งง รึเปล่า ก็เหมือนกับว่า ถ้าเป็นพวกเราจัมพ์ทุกคนอยู่ด้วยกันแล้ว พวกเราทำได้ อะไรทำนองนี้อ่ะนะ... แบบพูดออกมาอย่างลืมตัว "โถ่ ริว..." คือแบบ เผลออ่ะ ไม่ได้จะพูดว่า อะไรนะ เจตนาตอนนั้น ก็คือ คำว่า เพราะพวกเราอยู่ด้วยกัน เลยทำได้ เป็นจัมพ์ที่ไม่แพ้ใคร มันก็ต้องเป็นอิมเมจที่ว่า...ไม่สิ ที่จัมพ์มักพูดเสมอว่า ถ้าเป็นพวกเรา 10 คน ไม่ว่าอะไร ก็ไม่หวั่น ไม่ว่าอะไรก็จะต้องสำเร็จได้อย่างแน่นอน... โอย โอย Y_Y
ย้อนกลับไปตอนเช้า หลังจากวิ่งเสร็จ ก็เป็นคาบว่างตลอดจนถึงกลางวันและกลับบ้าน ก็เปิดฟิคเก่าตัวเองอ่าน ที่ตอนนั้นแต่งให้วันครบรอบ 3 ปี จัมพ์ เราพึ่งนึกได้ว่าตอนนั้น ตอนจบของฟิค แปลข้อความที่จัมพ์พูดถึงกันในวันครบรอบเอาไว้ มันเศร้าอ่ะ มันแบบ...ตอนนี้ เผลอคิดไปเอง ว่าทุกคนต้องคิดถึงวันนั้นที่มีกัน 10 คน แน่ๆ
「どんなときも、この10人でならガンバレるんだ!!!」
ไม่ว่าจะเป็นตอนไหน ถ้าเป็นพวกเรา 10 คนละก็ ทำได้อยู่แล้ว!!!
ริวทาโร่ที่คอยนั่งฟังเรื่องบ้าๆกับผมเสมอ 伊野尾慧
บางครั้งที่เห็นใบหน้าของริวทาโร่แล้วความรู้สึกเหนื่อยก็หายเป็นปลิดทิ้งเลย 有岡大貴
ริวทาโร่ที่มักจะชมการแต่งตัวของผมทำให้ผมดีใจ 中島裕翔
ริวทาโร่ที่มักเป็นคนที่ทำให้บรรยากาศในห้องแต่งตัวผ่อนคลายลงเสมอ 知念侑李
รอยยิ้มน่ารักๆของริวทาโร่ที่มองแล้วมักทำให้ผมหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง 薮宏太
ริวทาโร่ที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ยังเป็นเด็กอยู่อย่างนี้ตลอด。高木雄也
ริวทาโร่ที่แค่มองก็ทำให้รู้สึกรีแลค 岡本圭人
ริวทาโร่ที่แค่อยู่ด้วยกันแล้วก็รู้สึกผ่อนคลายได้ 山田涼介
ถึงจะยังเป็นเด็ก、แต่ริวทาโร่ก็เป็นน้องชายที่แสนน่ารักของผมนะ 八乙女光
พูดคำอื่นไม่ออกนอกจากคำว่า "รัก" นี่คือการคิดไปเอง แต่ก็หวังว่ามันจะเป็นอย่างนั้น เขารักกัน เชื่อนะ แบบนั้นน่ะ
สุดท้ายคำพูดของริวที่มันติดตามาจนถึงตอนนี้ ก็คงไม่พ้น
จากนี้ไปช่วยอยู่เป็นคนสำคัญของผมตลอดไปแบบนี้ด้วยเถอะ。…森本龍太郎
อาจจะเห็นกันแล้วเพราะโพสไว้ใน เฟส มันเป็นอะไรที่แบบ..อยากกอดริวอ่ะ โอ๊ย มันพูดไม่ออกอ่ะ TT พี่ๆทุกคนรักน้อง และ น้องก็รักพี่ และทุกคนเป็นเพื่อนกัน คือตรงๆนะ แค่นี้ก็ทำให้รู้สึกดีขึ้นมาอย่างพูดไม่ถูกเลยล่ะ พอย้อนกลับไปอ่าน ก็นึกถึงประโยคของ รินะจัง เจ้าของบล็อกที่เราเคยโพสไว้ในบล็อกก่อนหน้านี้
ที่บอกว่า "เพื่อนน่ะ เมื่อได้มาเป็นเพื่อนกันครั้งนึงแล้ว ก็จะเป็นเพื่อนกันตลอดไป"
ถ้ามันเป็นอย่างนี้จริงๆ ก็เบาใจแล้วล่ะ
ขอคั่นอะไรหน่อยนะ เมื่อกี้ รายการ อิจิบัง เปิด VTR จัมพ์ตอนเดบิวต์ เห็นริวชัดๆ เต็มๆแล้วแบบ วิ่งถลาเข้าไป ไม่ไหว จังหวะเหมาะพอดีอ่ะ ดีใจอ่ะ มีความสุขอ่ะ TT!! แค่นิดเดียวเอง โอย ฮือ ไม่ไหวอ่ะ TT คิดไปเองรึเปล่าว่าจัมพ์ยิ้มเพราะเห็นริว (นั่น)
อะไรมันจะเหมาะเจาะขนาดนี้ ยิ่งตอกย้ำให้ดราม่านะเนี่ย เฮ้อออ
อืมม จริงๆแมกอื่นกลับไปอ่านเก่าๆก็แบบนะ มัน...นึกภาษาไทยไม่ออก = = โหยหา? รึเปล่านะ ไม่รู้ดิ เดี๋ยวนี้จิตใจบอบบาง โดนทำร้าย กร๊ากกกกก
นี่เพื่อนๆ...
ริวยังจำความรู้สึกในรูปนี้ได้อยู่รึเปล่านะ~~
ว่าแต่พูดวนไปวนมาอีกแล้ว ช่างมันเหอะเนอะ =3= พอและๆ
เกือบจะลงและ ลืมจุดประสงค์หลักไป กร๊ากกกก! ไปสอยเมียวโจมา (เพราะมีไดยามะ) กร๊ากกก! เค้าว่านะ เป็นคนอื่นต้องเลือก โปโปโละแน่เลย เพราะจัมพ์แก้ผ้า กร๊ากกก!
เค้ามิสนอ่ะ สนไดยามะ =3= เลยจะแปลความเรียลลิตี้ (ดูมัน) วะฮ่าฮ่าๆ! รับไม่ได้ก็ไม่ต้องอ่าน โด่วววว ไปไกลๆ ชิ่วๆ
Best Couple!!
อาริโอกะ : พวกเราเป็นแชมป์คู่รักยอดเยี่ยมติดกันมา 3 ปีแล้วนะ! เรามาถ่ายรูปตอนเราจู๋จี๋ให้เขาดูกันเหอะ! (ระหว่างพูดก็ทำท่าจะไปจับติ่งหูของยามาดะ)
ยามาดะ : หยุดนะ! (เขิน)
อาริโอกะ : ทำไมต้องหนีด้วยเล่า~!
ยามาดะ : ชั้นต้องถามมากกว่า ว่า ทำไมจู่ๆก็เกิดรู้สึกอยากทำอะไรแปลกๆขึ้นมาเนี่ย!?
อาริโอกะ : ก็ติ่งหูของยามาดะมันนิ่มดีนี่นา~♥ นี่ ถ้านายทำท่ารังเกียจชั้นขนาดนั้นนะ เดี๋ยวเกิดคนอ่านเขาเข้าใจผิดว่า "ยามะจังเกลียดไดจัง" ขึ้นมาจะทำยังไงเล่า!?
ยามาดะ : ก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลยนี่นา~ (หัวเราะ) ทุกคนเขารู้น่าว่าเราสนิทกัน
อาริโอกะ : อ่อ จริงดิ~ ถ้างั้นพวกเราก็เข้าพวก "คู่รักยอดเยี่ยมที่รักกันมากที่สุดในโลกเลยล่ะสินะ~♪" (พี่ไดกิงเปรียบเทียบประมาณว่า รักกันโคตรขั้นเทพไรทำนองนี้ =w=b)
ยามาดะ : แล้วเหตุผลที่เราเข้าได้กันเนี่ยคือตรงไหนนะ ส่วนสูง?
อาริโอกะ : ไอ้นั่นน่ะ มันก็บ่งบอกได้ถึงความแมชกันของเราดีนะ ถือเป็นเรื่องที่สำคัญนะเนี่ย
ยามาดะ : ใช่ๆ ไม่ต้องเงยหน้าให้สุด หรือ ก้มให้ต่ำสุดเวลาคุยกัน ดี จะได้ไม่ปวดคอ (หัวเราะ)
อาริโอกะ : อย่ามากวนตรีนน่ะ ยามาดะน่ะ มักจะมาปรึกษาอะไรกับชั้นบ่อยๆเลยเนอะ
ยามาดะ : ก็ไดจังน่ะมักจะคอยตอบคำถามเพื่อชั้นตลอดเลยนี่นา แล้วก็ไดจังน่ะ เหมือนจะมีรังสีที่เห็นแล้วเหมือนบอกให้ชั้นเข้าไปปรึกษาอยู่ด้วยตลอดเลยน่ะสิ
อาริโอกะ : นั่นน่ะมันก็แน่นอนอยู่แล้วนี่นา! ต้องตอบสิ! อีกอย่าง ถ้ายามาดะกำลังลำบากละก็ ชั้นก็คงปล่อยทิ้งนายไว้คนเดียวไม่ได้หรอกนะ!
ยามาดะ : แต่ชั้นน่ะ ถึงไดจังจะลำบาก ชั้นก็จะปล่อยนายทิ้งไว้คนเดียวนั่นแหละนะ
อาริโอกะ : ให้มันน้อยๆหน่อย! ถึงจะพูดงั้นก็เหอะ แต่ยามาดะก็มักจะคอยให้คำแนะนำกับชั้นอย่างจริงจังทุกทีเลยนะ อย่างเมื่อเร็วๆนี้ ชั้นถามนายไปว่า "นี่อยากได้กระเป๋าตังค์น่ารักๆซักใบอ่ะ หาให้หน่อยสิ" แค่นั้นแหละ นายก็ตั้งหน้าตั้งตานึกหาให้ชั้นอยู่เลยไม่ใช่หรอ~
ยามาดะ : ก็นะ~♥ ปีหน้าเราสองคนตั้งเป้าหมายคว้าที่ 1 คู่รักยอดเยี่ยมกันอีกละกันนะ!
อ๊ากกกก เรียลลิตี้มากกกกกกกก!!! ถูกใจ กร๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกก อ่านคอมเม้นพวกแฟนคลับก็ฮาอ่ะ แม่งตอบเกรียนมาก "ก็มันของตายอยู่แล้วนี่นา?" "ก็ทุกปีก็เป็นคู่รักยอดเยี่ยมอยู่แล้ว ปีนี้ก็ต้องเป็นอีกสิ!" เกรียนมาก แต่ถูกใจ กร๊าก
แต่ตอนให้จัมพ์เลือกกันเรียวจังกลับไม่ยอมเลือกพี่ไดกิง (ซึน) แต่พี่ไดกิงเลือกเรียวจังตลอด เฮ้อ~~ เรียลแบบนี้ก็มีกำลังใจในการดำเนินชีวิตว่ะ กร๊ากกกกกกกกก
อธิบาย ความรู้สึกของคน จากมุมมองของเรา ผ่าน บทบาทสมมติ A B C ได้ดีมากเลย...แต่ ไง มาหักมุม กลับ ไปหา จัมพ์ ได้ไงเนี่ย ^^
ตอบลบ