ได้เรื่องซักที~ ตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้วพยายามถ่ายรูปบรรยากาศสวยๆของแถวนี้กับที่โรงเรียนเอาไว้ หวังจะมาเล่าให้ทุกคนฟัง แต่ทุกวันไปมันก็มีแต่อะไรก็ไม่รู้ สงสัยพลังวิญญาอ่อนแอ = =b
.
.
.
ก่อนที่จะเอารูปให้ดู อยากพูดอะไรซักหน่อยจัง
อาทิตย์ที่แล้วเป็นที่แบบว่ามาก (อาทิตย์ที่แล้วเนี่ย รวมเมื่อวานด้วยนะ) แบบว่าหมายถึง ร้องไห้ล่ะ..ยิ่งเมื่อวานร้องไปสองรอบเลย กับแม่รอบนึง กับ ปะป๊ารอบนึง...
อยากจะเขียนไว้ เผื่อคนที่ได้ผ่านเข้ามาในบล็อกนี้จะได้อ่านแล้วได้แนวทางอะไรบ้าง..
เค้าจะไม่พูดเรื่องการสอบที่ว่าเครียดแล้ว มันผ่านไปแล้ว (แม้จะมีสอบของ ปี 1 อีก แต่ก็ไม่มีอะไรน่ากลัวแล้วล่ะ) แต่เค้าอยากจะพูดเรื่อง "เรื่องไรวะ?" - -;; ไม่รู้แฮะ เออช่างเหอะ
เรื่องแรก...ที่เค้าร้องไห้กับแม่ (พิมพ์คุยนะ ไม่รู้แม่รู้รึเปล่าว่าร้องไห้้) ปล.ไม่ได้ยินเสียงแม่มาเดือนนึงแล้วล่ะ อดทน ^^;
เมื่อวาน วันอาทิตย์ เป็นธรรมดาที่จะเหงา แล้วก็ฟุ้งซ่าน คือแบบ วันหยุดจะหมดแล้วใช่มั๊ย แถมวันจันทร์ (ซึ่งก็คือวันนี้) มีสอบที่เกลียดอีก แล้วเมื่อวานก็นั่งเล่นคอมทั้งวัน (ไม่อยากทำอะไรอ่ะนะ) เงียบๆคนเดียว จนค่ำ เป็นธรรมดาที่จะฟุ้งซ่าน...รู้ก็รู้ แต่ก็ไม่ลุกออกไปข้างนอก (ก็แหม ไม่อยากเดินนี่ แค่ทุกวันขี่จักรยานก็ปวดขาจะแย่อยู่แล้ว TT)
วันนั้นก็คุยกับแม่ไปเรื่อย...แล้วก็มาพูดว่า หนูไม่อยากไปโรงเรียนเลย แต่ยังไงก็ต้องไป ไม่อยากหนี แล้วก็พูดไปเรื่อยระบายน่ะ สุดท้าย "ที่โรงเรียนก็ไม่มีเพื่อน..." เรื่องนี้แหละที่ทำให้ร้องไห้
คือจะว่าไม่มีเพื่อนมันก็ไม่ใช่อ่ะนะ แต่มันก็เหมือนไม่มี...เราก็รู้เข้าใจ เราก็ไม่ได้อะไรเท่าไหร่ เริ่มชินแล้ว อีกอย่างก็ไม่ค่อยแคร์เท่าไหร่ - - แต่ว่านะ เวลาที่เดินไปเรียนคนเดียว ทำอะไรคนเดียว มันจะรู้สึกเหมือนว่า ตัวเองถูกมองว่าน่าสงสาร...
มันก็คงคิดไปเองอ่ะแหละนะ แต่ก็ไม่แปลกใช่มั๊ย...นั่นแหละที่ทำให้เหงาและเสียใจ ถึงจะชินแล้วก็เหอะ ชินแล้วจริงๆนะ แต่ถ้าพูดทีก็อดไม่ได้
แต่แม่ก็พูดเรื่องเพื่อนที่ไทยให้ฟัง ว่าเราไม่ได้น่าสงสาร เพื่อนของเราก็มีเพียงแต่ตอนนี้เราต้องแยกกันเท่านั้นเอง ส่วนเพื่อนที่โรงเรียนก็ไม่ต้องสนใจ นี่แหละผู้ใหญ่ มีตัวเองเป็นเพื่อน มีงานเป็นเพื่อน มีหนังสือเป็นเพื่อน นี่แหละเรื่องจริง พอออกมาทำงานจริง ทุกคนก็เป็นแบบนี้กันหมด ซึ่งมันก็จริง... ตอนนั้นร้องไห้เลย ฝืนแล้วแต่ก็น้ำตาไหลแหมะๆ ไม่หยุด
ตอนนั้นโฮสนั่งเล่นอยู่ข้างๆอ่ะ โฮสอีกคนก็ยืนอยู่ฝั่งตรงข้าม เขาคงเห็นแหละแต่เขาก็ทำตัวปกติอ่านะ เหอๆ เขาคงไม่กล้าพูดอะไร ซึ่งดีแล้วล่ะ TT
จริงๆก็ตอบไม่ได้นะว่า ร้องทำไม...เพียงแต่นะ อืม ฮ่าๆ อ่านแล้ว งง อ่ะดิ งงเหมือนกัน - - แต่บอกแล้ว นี่บล็อกเค้า ใครจะทำไม =3=
พอดีวันเสาร์ก็คุยกับเพื่อนที่โรงเรียน คุยกับยูเมะ ยูริ(น้องยูเมะ เราเป็นเพื่อนสนิทกัน) อือ ไม่ได้คุยกับเพื่อนที่คุยนาน กับปาร์ตี้ (ตอนนี้มันอยู่อังกฤษแล้ว หลั่นล้าเชียว - -) นั่นแหละ แล้วก็จูจุ๊ (เพื่อนรักคบกันมาตั้งสิบกว่าปีแล้วนะแก ฮ่าๆ มาอ่านรึเปล่า ถ้าอ่านกลับไปคงโดนดักตบแหง =3=) คงทำให้คิดถึงเพื่อนแล้วปลื้มใจไม่ได้ ว่าเราไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว ซึ้งมาก
นั่นแหละนะ พอแม่พูดอะไรเข้า เลยร้องไห้เลย แต่มันก็ทำให้เราโล่งใจขึ้นแล้วว่า เราไม่ได้อยู่คนเดียว เราก็มีเพื่อนของเรา คนของเรา เพียงแต่ว่าตอนนี้ เราไม่ได้อยู่ในที่ของเรา และมีคนของเราอยู่ข้างๆเท่านั้นเอง ซึ่งไม่ได้หมายความว่าเราเดียวดาย...
จริงๆ เค้าก็คิดถึงจุดนี้ตลอดนะ ว่าเรามีเพื่อน มีพี่ๆ แก๊งลูกเป็ดเกิบแตะรอริว...... ไม่อยากต่อที่เหลือ - - แล้วก็เพื่อนๆแฟนจัมพ์อีกมากมาย คอยอยู่เคียงข้าง พูดกี่ทีก็อดมีความสุขไปไม่ได้ แต่มันก็หลายเวลาที่ มักจะยังคิดว่าตัวเองอยู่คนเดียว อย่าโกรธเค้านะ...
หลังจากคุยกับแม่เสร็จ ก็ได้คุยกับยูเมะต่อ อย่างที่บอกว่าตอนนี้ยูเมะก็ไปเรียนที่อเมริกาเหมือนกัน เราต่างคนต่างเจอปัญหา แต่เราก็ยังคอยให้กำลังใจกันเสมอ เมื่อวานก็เป็นอีกวันหนึ่ง ซึ่งทุกครั้งยูเมะกับเราก็จะมีความรู้สึกหลายๆอย่าง ปัญหาหลายๆอย่างคล้ายกันเสมอ เราเลยช่วยปลอบ ช่วยให้กำลังใจกันได้
นั่นแหละสำคัญ...ในบางเวลาที่เพื่อนของเรา อ่อนแอ (ไม่ได้หมายความว่าอ่อนแอแบบน่าสงสารนะ หมายถึง จิตใจไม่ค่อยสบายน่ะ ^^;) แม้ว่าเราก็ยังทุกข์ยังอ่อนแอ ยังเอาตัวเองให้รอดไม่ได้ไม่ต่างกัน แต่เพราะเพื่อนอ่อนแอ เราจึงอยากจะเข้มแข็ง และเป็นกำลังให้เพื่อนแทน นี่แหละ เป็นอีกจุดหนึ่งของพลังที่สำคัญนะ ^^
จากตรงนี้อาจจะไม่เกี่ยว แต่ยังไงก็ขอเขียนหน่อยนะ ^^ ไหนๆก็เขียนเรื่องเพื่อนแล้ว...
"เค้าน่ะยังเอาตัวเองไม่รอด ก็ไม่มีสิทธิ์พูดอะไรดีๆหรือให้กำลังใจใครเขาได้หรอก แค่ประคองตัวเองให้ต่อสู้มาได้แต่ละวันน่ะ ก็เหนื่อยจะแย่แล้ว แต่เพราะว่าเพื่อนกำลังเป็นทุกข์ เค้าเลยอยากเข้มแข็งขึ้นแล้วเป็นกำลังให้กับเพื่อนได้ นั่นแหละที่เค้าทำอยู่ทุกวัน ปกติเราก็ส่งเมล์คุยกันตลอดอ่ะนะ แต่มันเป็นภาษาญี่ปุ่นเลยอาจจะพูดยากซักหน่อย เลยอยากจะมาพูดในนี้แทน ไม่อยากโทรไปพูดเรื่องนี้หรอก อาย... แกเป็นเพื่อนคนแรกที่แม้ว่าตัวเค้าเองก็ยังไม่ไหว แต่ก็อยากจะไปร่วมทุกข์อยู่กับแกข้างๆ วันแรกหลังจากแยกกันไปที่ได้คุยกัน พอรู้ว่าแกเจอปัญหา ทั้งๆที่เค้าเองก็เจอปัญหา แต่เค้าก็ยังอยากจะไปอยู่กับแก อยากจะไปทุกข์กับแก ไม่อยากให้แกสู้คนเดียว แปลกเนอะ ไม่ใช่ว่าเค้าคิดว่าแกอ่อนแอ ทำอะไรเองไม่ได้ ต่อสู้ไปเองไม่ได้ ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกนะ มันรู้สึกว่าอยากร่วมทุกข์ร่วมสุขอ่ะ ไอ้ยูเมะแกกำลังหัวเราะอยู่ใช่มั๊ย! - - จะหัวเราะก็หัวเราะไป แต่นะ เรื่องนี้อยากพูดจริงๆ เพราะงั้น สู้ต่อไปด้วยกันนะ คุยกันทุกวัน วันละนิดวันละหน่อยแบบนี้ต่อไปนะ ^^"
จบ...เหมือนมาสารภาพรักเลยว่ะ กร๊ากกก ป่าวนะ - -
ไม่ใช่แค่ยูเมะหรอกนะ แต่สำหรับเพื่อนทุกคน (ที่คิดว่าเค้าเป็นเพื่อนด้วยอ่าน้ะ) ขอบคุณมากที่คอยติดต่อ ขอบคุณมากที่อยู่ให้เค้าภูมิใจว่าเค้ามีเพื่อนที่แสนดี ไม่ใช่คนน่าสงสาร และไม่มีเพื่อนที่นี่ ขอบคุณนะ!
.
.
.
นี่พิมพ์ไปไปช่วยโฮสทำแกงมัสมั่นนะเนี่ย - - กินได้ป่าวก็ไม่รู้ เหอๆ
.
.
.
ต่อครึ่งหลัง (อ้าว!?) พอดีหลังจากทำเสร็จก็ปิดไปกินข้าวอ่านะ แล้วก็อาบน้ำมาต่อเนี่ยแหละ เพราะงั้นฟีลเปลี่ยนแล้ว - -
ต่อไปเรื่องที่สอง...ความกดดัน
อยู่ที่นี่กดดันจริงๆนะ ทุกคนรู้รึเปล่าว่าเค้าเจออะไรบ้าง...การดูถูก แม้จะมาจากเพียงคนแค่คนสองคน แต่มันก็มากพอแล้ว
มาที่นี่ เราต้องแบกรับกับคำว่า "คนไทย" เอาไว้ เพราะงั้นจะทำอะไรต้องทำให้ดีที่สุดและต้องคิดให้ดีก่อนทำด้วย
ถึงตรงนี้คง งง ว่าดูถูกยังไง กับนักเรียนไม่มีอะไรหรอก แต่กับครู..ที่โรงเรียนเรา มีนักเรียนต่างชาติสามคน ฟินแลนด์ อเมริกา แล้วก็เราคนไทย
จริงๆเราสามคนสนิทกันนะ เพียงแต่พวกครูเท่านั้นเอง (แค่บางคนนะ) คงเห่อฝรั่งแหละมั้ง หัวทอง พูดญี่ปุ่นก็ไม่ค่อยได้ เลยโอ๋ใหญ่ - - แต่กับเราคนเอเชียเหมือนกัน เขาเลยไม่สนใจ อีกอย่าง คงเพราะคนไทยด้วยแหละ...
อย่างที่ทุกคนรู้ ก็ญี่ปุ่นเขาพัฒนาแล้วนี่นา กับประเทศเรา เขาก็มองว่ามันไม่ได้พิเศษอะไรนักหนาหรอกจริงมั๊ย? แต่หลายคนเขาก็มองว่าประเทศเราสุดยอดในหลายๆด้านนะ ไม่ต้องห่วง ^^ โดยเฉพาะเรื่องที่ไทยไม่เคยตกเป็นของชาติใด นี่แหละที่สุดยอดจริงๆและคนญี่ปุ่นที่มีความรู้ยอมรับ...
ต่อ ดังนั้นเราทำอะไรพยายามอะไรเขาก็เมิน เวลาถามอะไรก็ไม่ถามเราถามแต่พวกฝรั่ง ตื่นเต้นไปหมด มันอธิบายออกมาไม่ได้หรอก แน่นอน เราคงคิดไปเอง แต่เพื่อนฝรั่งก็รู้สึกแบบนั้น...
มันถึงได้กดดันมาก พอมีสอบ ตารางก็โหดร้าย (แต่ก็ผ่านมันไปแล้ว) ถึงแม้เขาจะบอกว่าทำไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เพราะยังไงแค่ให้สอบเฉยๆไม่มผลอะไรอยู่แล้ว แต่มันกดดันมั๊ยล่ะ? นั่นหมายความว่า คุณจะต้องพยายามให้มากที่สุด ให้ตายแม่งไปข้างเลย (หยาบคาย)
อีกทั้งด้วยที่ ถ้าเราทำไม่ได้เลย เขี่ยๆไป หรือ ไม่พยายาม เขาคงดูถูกเสียยิ่งกว่าว่า คนไทยมันก็แค่นั้น ไม่มีความรู้ ไม่พยายาม บลาๆ ยิ่งรับไม่ได้ ในที่สุดก็เข้าสู่ภาวะกดดัน...
มันหลายอย่างที่ผ่านมา มันถ่ายทอดออกมาไม่ได้ แม้จะรู้ว่าควรทำยังไง อะไรควรทำ และไม่ควรมาคิดมากขนาดนี้ แต่ในสถานการณ์นั้น มันมีแต่คำว่ากดดันจริงๆ
ร้องก็ร้องไม่ออก เหนื่อยมาก ต้องนั่งอ่านหนังสืออีก
"พอเราผ่านช่วงเวลาร้ายๆมาแล้ว และมองย้อนกลับไป จะรู้ว่าเรื่องเลวร้ายนั้นมันเล็กนิดเดียว"
รู้นะ แต่ ณ เวลานั้นมันจะเครียดอ่ะ ฮ่าๆ
ตอนนั้น ความสุขที่ไม่ค่อยจะมีอยู่แล้ว ก็ยิ่งไม่สุขเข้าไปใหญ่ ตอนนั้นพยายามจะหาทางออกให้ตัวเองจริงๆ อยากให้กำลังใจตัวเอง แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไง สุดท้ายก็เข้าไปอ่าน "ไร้สาระนุกรม" เล่น - - แต่ก็ดันไปเจอกับ คำคมอะไรเข้า
.
.
จำไม่ได้แล้วล่ะ เหอๆ จริงๆมันไม่เกี่ยวกับการให้กำลังใจเลยนะ ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกว่าจะเกี่ยวกับ อย่ามองคนที่ภายนอก แต่เขาพูดลึกซึ้งกว่านั้น
จู่ๆก็เกิดกำลังใจขึ้นมาเฉยเลย (อ้าว) จนถึงตอนนี้ก็ไม่เข้าใจตัวเอง - - แต่ก็ได้กำลังใจมาแล้ว รู้สึกดีอย่างน่าประหลาด จากนั้นเลยไปเปิดหาดูคำให้กำลังใจอื่นๆเพิ่มต่อ
ซึ่งก็เจอมากมาย อ่านแล้วรู้สึกดีจริงๆ ^^ ยังไงก็แนะนำนะ...
แต่คำพูดหนึ่ง คำให้กำลังใจคำหนึ่ง ที่ตราตรึงอยู่ในหัว (ดูมันใช้คำ) เป็นประโยคสั้นๆจากเว็บธรรมะแห่งหนึ่ง เป็นประโยคที่ไม่ว่าจะพูดกี่ครั้ง ก็เติมกำลังใจ และ ความสุขเล็กๆให้ได้ทุกเมื่อ จึงอยากจะเอามาบอกทุกคน เผื่อว่ามันจะทำให้ใครบางคนมีกำลังใจ อยากสู้และมีความสุขต่อไปเหมือนเค้าได้บ้าง..
"ขอให้มีความสุขกับทุกวินาที ที่ ณ เวลานี้ ยังมีลมหายใจ"
.
.
จำไว้นะ ^^ ไม่ว่าจะเจอเรื่องอะไร เจ็บปวดแค่ไหน ก็ขอให้นึกซะว่า อย่างน้อยตอนนี้ก็ยังมีลมหายใจ ได้อยู่ต่อไป เพื่อที่จะแก้ไข และ รอคอยสิ่งดีๆ ไม่สิ และได้สร้างสิ่งดีๆเพื่อตัวเองต่อไปในวันข้างหน้า เพราะฉะนั้น สู้ต่อไปนะ ตอบแทนชีวิตและลมหายใจ ที่จะทำให้เรามีความสุขได้ในวันข้างหน้า...
และวันนั้นปะป๊าโทรมาพอดี ก็เลยร้องหนักเลย เพราะไม่ได้โทรหาใครในครอบครัวเลย คิดถึงนะ คิดถึงมาก แต่ไม่อยากโทร ไม่อยากโฮมซิก แต่ปะป๊าโทรมาเลยร้องเลย ร้องจริงๆ
ปะป๊าก็บอกว่า "พิสูจน์ตัวเองให้เขาเห็น แสดงให้เห็นว่าเราพยายามและมีคุณค่า" นั่นแหละคือ สิ่งที่เราควรทำ และคิดในแง่ดี คิดให้เป็นประสบการณ์ และสุดท้ายตัวเรานี่แหละที่จะภูมิใจในตัวเราเอง
นี่คือสิ่งที่ปะป๊าเตือน และทำให้วันนี้เราตั้งใจเต็มที่ที่จะ พิสูจน์ให้ทุกคนเห็น ว่าเรา พยายามและไม่ได้หนีความอ่อนแอของตัวเอง สุดท้ายเราก็ผ่านวันนี้มาได้ ^^ ขอบคุณมากนะ จริงๆ ถ้าป๊าอ่านก็ไม่ต้องมาพูดเรื่องนี้กันอีกนะ เขิน ฮ่าๆ
.
.
เรื่องทั้งหมดก็เป็นแบบนี้แหละ อาจจะเข้าใจยาก เพราะที่เขียนออกมาเป็นความรู้สึกล้วนๆ มนุษย์นั้นยากแท้หยั่งถึง เพราะงั้นไม่ต้องพยายามไปเข้าใจกับสิ่งที่เค้าเขียนก็ได้นะ ^^ เพียงแต่ว่า ถ้าได้อะไรบ้างจากสิ่งที่เราพบ เราก็ดีใจ ^^
อ้อ บอกทิป หลังจากร้องไห้หนักเสร็จก็ตัดสินใจนั่งสมาธิที่ไม่ได้นั่งมาสองเดือนล่ะ รู้สึกดีขึ้นมากเลย ใครคิดไรไม่ออก หาทางออกไม่ได้ก็นั่งสมาธิซะนะ เห็นงี้ก็เหอะ เค้านั่งบ่อยนะเออ กร๊ากกก =w=b
.
.
.
มีแต่เรื่องปวดหัว ชวนอ้วก บลาๆ =////= จริงๆมีอีกนะ (ทุกทีอ่ะ) แต่ลืมแล้ว ช่างเหอะ ฮ่าๆๆๆๆ
บรรยากาศของโรงเรียน กับ ทางกลับบ้าน!!!!
ก่อนจะมาเริ่มโชว์ของดี? อ๊ะๆๆๆ ทำไมต้องย้ำว่า เป็นทางกลับบ้าน!? ไอทางไปทางกลับมันคนละทางหรอ? แหงดิ คนมันฉลาด =3= (ป่าวอ่ะ ขากลับมาอีกทางมันเป็นทางลงเขา สบายดี กร๊าก)
รูปนี่ถ่ายมาตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้วนะเนี่ย เหอๆ พอนั่งนึกว่า ฤดูใบไม้ร่วงจะหมดแล้ว ก็เลยอยากรีบถ่ายเก็บไว้ ^^
เริ่มแรก...รูปนี้มันตรงไหนฟระ!!! ToT!!
ตรงนี้สวยมากเลยย แสงกำลังดี >< อ้อ สะพานนี้เป็นประตูหลังโรงเรียน ม.ต้นล่ะ~~
ที่ดีเดียวกับข้างบน แต่สวยกว่า อ๊ากก แสงทำให้ต้นไม้สวยมากกก ชอบตรงนี้มากเลย >< แต่นะ เกลียดตรงนี้ที่สุดเหมือนกัน - - เพราะเวลาเลิกเรียน เด็กแม่งชอบยืนออกกันเต็มถนน เดี๋ยวปั๊ดชนแม่ง - - บางคนนะ กริ่งก็แล้ว จนล้อจักรเชียดกระเป๋าแม่งยังไม่รู้สึกตัวเลย - - พอเราแหลมหน้าออกมาได้ แม่งก็หันหน้ามามอง เด็กเ_ร - -*!
ถนนเส้นนี้สวยมากกก แต่ใบไม้เริ่มร่วงหมดแล้ว~
สวยใช่ม๊ายยย!! จะบอกว่าสวยมากกกกกกกกก แต่เหม็นโคตรรรรรรรรรรรรร มันคือต้นไรไม่รู้กลิ่นเหมือนกลิ่นหมาอ่ะ - -! จริงๆนะ! ทรมาณใจมาก - -
ที่เดียวกับสองรูปข้างบน ขี่ไปเหม็นไป สวยไป เฮ้อ - -
ทางลงเขาหน้าโรงเรียน กร๊ากกก ดูแบบนี้เหมือนถนนปกติเลยแฮะ ทั้งๆที่ชันมากแท้ๆ - -
ถนนสายเหม็นหมา เอ๊ย! ถนนโรแมนติกยามพลบค่ำ~ (ล้อเล่น สี่โมงจะห้าโมงต่างหาก - -)
มีรูปนี้หลุดมาเป็นทางขาไปโรงเรียน อิอิ อันนี้ก็ชันมากกกกกก แต่รูปแลดูปกติ หงุดหงิดใจ - - ตอนเช้าเป็นอะไรที่หนาวมาก จริงๆมันก็ไม่หนาวขนาดนั้นนะ (ขนาดไหนล่ะ) แต่พูดหายใจเป็นควันเลยอ่ะ - - โดยเฉพาะเสาร์ที่ผ่านมา ตกใจ กร๊ากก ควันนี้ไหนวะ - -*?
พอดีกำลังหงุดหงิดไง วันเสาร์ต้องตื่นไปโรงเรียนไปสอบแค่ ครึ่งชั่วโมง!! - -*! ไม่หงุดหงิดก็แปลกแหละ เลยฟืดฟัดๆ? ควันที่ไหนลอยมาตกใจ อ๋อ หนาวจนพูดเป็นควันนี่เอง กร๊ากกกกกก
แต่นะ มันแค่ราวๆ 7-8 องศาเอง ไม่น่ามีควันเลย (เอง?) ตอนนี้อยู่นี่ เห็น 17 องศาก็ดีใจแล้ว อุ่น - -
.
.
อ่ะ ศุกร์ที่แล้วได้ดูโชเนนครั้งแรกที่มาอยู่โอซาก้าด้วยแหละ อ๊ากกก!! พรหมลิขิตมากกกก!!! พอดีนั่งว่างๆเปิดหนังสือพิมพ์ดูเล่น (อ่านไม่ออก) ที่หนังสือพิมพ์จะมีตารางทีวีด้วยไงทุกวัน (ถึงว่า พวก TVlife TVguide ขายไม่ค่อยออก กร๊าก) ดันไปป๊ะเท่งทึงกับโชเนน! อ๊ากกก!!!
ดีใจจจ ToT! จริงๆไอไอเพื่อนที่โรงเรียนก็เคยบอกนะ แต่ไม่เคยหาเจอ TT ในที่สุดก็ได้ดู แต่เพราะเป็นตารางพิเศษ อาทิตย์ที่แล้วกับอาทิตย์ก่อนนู้นเลยมีโชเนนเทปเก่ามาฉาย ก็ไม่เก่ามากอ่ะของเดือนที่แล้ว ฮิฮิ แต่ก็ทำให้รู้ว่ามีวันไหน เวลาไหนที่คันไซแล้ว อาทิตย์นี้จะรอดู อิอิ =w=
YanYan ก็มีนะ แต่เป็นวันอาทิตย์ เจ็ดโมงเช้า ให้ตายเหอะ - - โหลดเหมือนเดิมละกัน เหอๆๆๆ
ถึงขั้นถ่ายรูป กร๊าก จากนั้นมาก็แย่งหนังสือพิมพ์มาจังมาดูตารางทีวีทุกวันไป เอิงเอย~ =_=b
Hey!say!7 Abake!! ไม่ได้อยากถ่ายอิโตะนะเนี่ย กร๊ากกก
บ้านนี้ใหญ่ไฮโซก็จริง คงมีแค่ทีวีทั้งที่คิดว่าไม่เข้ากันเลย เหอๆๆ - -
.
.
อ๊ะ ลืมไป วันเสาร์สอบเสร็จ ไม่มีคนอยู่ข้างนอก (เพราะปีสองคนอื่นต้องสอบต่อ) เราเลยได้โอกาสแอบถ่ายโรงเรียน อิอิ (แอบ?)
รูปผิดสลับตำแหน่งกันหมดแล้ว กร๊าก เอ๊อ ช่างเต๊อะ เริ่มด้วย หมายเลขจักรยานเค้า สามารถไปตีเลขเด็ดได้ =w=b แบ่งกันด้วยล่ะ
โรงจักรยานที่เงียบเหงา?
เดินถอยหลังออกมานิดจะเป็นเป็นเช่นนี้...
ทางลงไปโรงจักรยานที่รัก~ (ชอบทางนี้มาก เพราะถ้าเดินมาทางนี้นั่นหมายความว่าจะได้กลับบ้านแล้ว - -!)
พอโผล่ออกมาจากบันไดเมื่อต๊ะกี้ ก็เป็นทางเดินไปตึกเรียนล่ะ สวยมั๊ย~~~
อันนี้มุมมองขาออก~~ สวยเนอะๆๆ ><
จะว่าไปไอต้นนี้ใบมันเหมือนไอต้นเหม็นเหมือนหมานั่นเลยนะ แต่เตี้ยกว่า ไม่มีกลิ่นด้วย สงสัยคนละพันธุ์ - -
ตึกที่ดูเหมือนอู่ซ่อมรถนั้น คือสถานที่ตั้งของล็อกเกอร์ของแต่ละชั้นปีล่ะ~
ทางไปโรงยิมกับห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า จริงๆมันก็ทางเดียวกันกับไอเมื่อกี้แหละ ฮ่าๆ
เข้ามาด้านใน สลับไปนิดแทนที่จะไล่เข้ามาเรื่อยๆ ช่างเห๊อะ นี่ป้ายห้องเค้า ฮ่าๆๆๆ ichi nen go gumi ปีหนึ่ง ห้อง ห้า
ระเบียงทางเชื่อมไปตึกอื่นๆ มันเลยกลายเป็นตึกเดียวกันหมด (อ้าว)
ระเบียงหน้าห้อง (ทำไมรูปมันสลับมั่วหมดเลยฟระ)
ห้องเรียนเค้า!! เหมือนในหนังเลยใช่มะ ฮ่าๆๆ
นี่ระเบียงเดียวกันแต่เป็นชั้นหนึ่ง~~
ล็อกเกอร์!!! ลืมถ่ายล็อกเกอร์ตัวเองอ่ะ เหอๆๆๆ อ้อ ที่ปิดเนี่ยเพราะวันนั้นเป็นวันเสาร์นะ เหอๆ เค้าเข้าจากประตูปีสองอ่ะ
ทางเดินไปโรงอาหาร ติดกับตึกปีหนึ่ง โชคดีๆ ฮ่าๆ อ้อโรงอาหารกับห้องเปลี่ยนชุดพละ ที่เดียวกัน เลยสบายปีหนึ่งเลย กร๊ากก
.
.
.
อ้าวหมดแล้วอ่า - - ก็นะ รูปมันมั่วๆงงๆ ฮ่าๆ ไว้จะถ่ายมาอีกละกัน พอดีใช้มือถือถ่ายมันไม่่สะดวก อิอิ ><
วันนี้หมดเรื่องเล่าแล้ว ไปก่อนละกัน เหอๆ
จะว่าไปมีทั้งดราม่าทั้งต๊องเนอะ - -